หุ้นกู้: การลงทุนทางเลือกที่น่าสนใจ

มารู้จักกับ "หุ้นกู้" (corporate bond) การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนแน่นอน พร้อมทำความเข้าใจประเภทของหุ้นกู้ ข้อดี ความเสี่ยง และช่องทางการซื้อขายที่คุณไม่ควรพลาด!!

ศัพท์การเงินความรู้การเงินการลงทุน

2/7/20251 นาทีอ่าน

หุ้นกู้ = การลงทุนทางเลือกสำหรับนักลงทุน

ถ้าพูดการลงทุนทางเลือกสำหรับนักลงทุนส่วนใหญ่คงไม่พ้นการลงทุนในหุ้น กองทุนรวมต่างๆ

และอีกตัวหนึ่งคือ “หุ้นกู้” ที่เป็นที่นิยมสำหรับนักลงทุน ซึ่งในวันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับ “หุ้นกู้” ตราสารหนี้สุดฮิตกัน

หุ้นกู้คืออะไร?

หุ้นกู้ (Corporate Bond) เป็นตราสารหนี้ ที่ออกโดยบริษัทเอกชนเพื่อระดมทุนจากนักลงทุน (แปลง่ายๆคือ บริษัทนึงมาขอยืมเงินหน่อยแล้วจะให้ดอกเบี้ยคืนเป็นค่าตอบแทน)

โดยผู้ที่ถือหุ้นกู้จะมีสถานะเป็นเจ้าหนี้ของบริษัทผู้ออกหุ้นกู้ และจะได้รับดอกเบี้ยตามเงื่อนไขที่กำหนดในสัญญา รวมถึงเงินต้นคืนเมื่อครบกำหนดอายุของหุ้นกู้

  1. ให้ผลตอบแทนที่แน่นอน – ผู้ลงทุนจะได้รับดอกเบี้ยตามที่ระบุไว้ ทำให้สามารถคาดการณ์รายได้ล่วงหน้าได้

  2. มีความเสี่ยงต่ำกว่าหุ้นสามัญ (หุ้นที่ซื้อในตลาดหุ้นปกติ) – เนื่องจากมีลำดับความสำคัญในการได้รับเงินคืนสูงกว่าผู้ถือหุ้นสามัญ

  3. เป็นทางเลือกที่หลากหลาย – มีหุ้นกู้หลายประเภทให้เลือกตามระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

  4. เสริมสร้างกระแสเงินสด – เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการกระแสเงินสดต่อเนื่องจากดอกเบี้ยหุ้นกู้

  5. ช่วยกระจายความเสี่ยงในการลงทุน – ผู้ลงทุนสามารถถือหุ้นกู้ร่วมกับสินทรัพย์อื่น ๆ เพื่อลดความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ตการลงทุน

ประเภทของหุ้นกู้

หุ้นกู้สามารถแบ่งออกเป็นประเภทต่างๆ ตามลักษณะของการออกและความเสี่ยง เช่น

  1. หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ (Senior Bond) – ผู้ถือหุ้นกู้ประเภทนี้จะมีสิทธิได้รับเงินต้นและดอกเบี้ยก่อนผู้ถือหุ้นกู้ด้อยสิทธิ หากบริษัทประสบปัญหาทางการเงิน

  2. หุ้นกู้ด้อยสิทธิ (Subordinated Bond) – ผู้ถือหุ้นกู้ประเภทนี้มีความเสี่ยงสูงขึ้น เพราะจะได้รับเงินคืนหลังจากชำระหนี้ให้ผู้ถือหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิแล้ว

  3. หุ้นกู้มีหลักประกัน (Secured Bond) – หุ้นกู้ที่มีทรัพย์สินของบริษัทเป็นหลักประกัน ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงให้แก่ผู้ลงทุน

  4. หุ้นกู้ไม่มีหลักประกัน (Unsecured Bond) – หุ้นกู้ที่ไม่มีทรัพย์สินค้ำประกัน ผู้ลงทุนต้องพิจารณาความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัทก่อนตัดสินใจลงทุน

  5. หุ้นกู้แปลงสภาพ (Convertible Bond) – หุ้นกู้ที่สามารถเปลี่ยนเป็นหุ้นสามัญของบริษัทได้ตามเงื่อนไขที่กำหนด

  6. หุ้นกู้ถาวร (Perpetual Bond) – หุ้นกู้ที่ไม่มีวันครบกำหนดไถ่ถอน และผู้ถือจะได้รับดอกเบี้ยไปเรื่อยๆ

ข้อดีของการลงทุนในหุ้นกู้

การจัดอันดับเรทติ้งของหุ้นกู้

การจัดอันดับเครดิตเรทติ้ง (Credit Rating) เป็นเครื่องมือในการประเมินความสามารถของผู้ออกหุ้นกู้ในการชำระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยตามกำหนดเวลา

ซึ่งจะ โดยบริษัทจัดอันดับเครดิตที่เป็นอิสระจะทำการวิเคราะห์และให้คะแนนเครดิตแต่ละระดับ เช่น AAA, AA โดยบอกถึงระดับความเสี่ยงที่ต่ำ ในขณะที่ BBB, BB มีความเสี่ยงที่อาจจะผิดนัดชำระที่มากกว่า

การจัดอันดับเครดิตเรทติ้ง ช่วยให้นักลงทุนสามารถประเมินความเสี่ยงของหุ้นกู้ก่อนตัดสินใจลงทุนได้ดียิ่งขึ้น

การจัดอันดับเครดิตเรทติ้งนั้น จัดทำโดยสถาบันที่มีความน่าเชื่อถือ

โดยในประเทศไทยนั้นจะมีสถาบันจัดอันดับหลัก 2 สถาบัน คือ TRIS Rating และ Fitch Ratings Thailand

ส่วนระดับสากลนั้น มี 3 สถาบันใหญ่ๆคือ Standard & Poor’s (S&P),Moody’s Investors Service, Fitch Ratings

ตารางการจัดอันดับเรตติ้ง บริษัทต่างๆ

bond-invesstment-rating
bond-invesstment-rating

ผลตอบแทนของหุ้นกู้

ผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นกู้มาจากสองแหล่งหลัก:

  • ดอกเบี้ย (Coupon Rate): บริษัทผู้ออกหุ้นกู้จะจ่ายดอกเบี้ยเป็นงวด ๆ ตามที่ระบุในสัญญา อาจเป็นแบบจ่ายทุกไตรมาส ครึ่งปี หรือปีละครั้ง

  • กำไรจากการขายหุ้นกู้: นักลงทุนสามารถซื้อขายหุ้นกู้ในตลาดรอง (เหมือนตลาดมือสองในการขายหุ้นกู้) และทำกำไรจากส่วนต่างราคาซื้อขาย

ความเสี่ยงของการลงทุนในหุ้นกู้

แม้ว่าหุ้นกู้จะเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำกว่าหุ้นสามัญ แต่ก็ยังมีความเสี่ยงที่ต้องพิจารณา ได้แก่:

  • ความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ (Default Risk): หากบริษัทผู้ออกหุ้นกู้มีปัญหาทางการเงิน อาจไม่สามารถจ่ายดอกเบี้ยหรือเงินต้นคืนได้

  • ความเสี่ยงด้านตลาด (Market Risk): ราคาของหุ้นกู้อาจเปลี่ยนแปลงตามภาวะเศรษฐกิจและอัตราดอกเบี้ย

  • ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง (Liquidity Risk): หุ้นกู้บางประเภทอาจมีสภาพคล่องต่ำ ทำให้ขายออกยากเมื่อจำเป็นต้องใช้เงิน

  • ความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Risk): หากอัตราดอกเบี้ยในตลาดเพิ่มขึ้น ราคาหุ้นกู้ที่ถืออยู่จะลดลง

ช่องทางการซื้อ-ขาย

นักลงทุนสามารถซื้อหุ้นกู้ได้ผ่านช่องทางต่างๆ เช่น:

  • ตลาดแรก (Primary Market): ซื้อหุ้นกู้โดยตรงจากบริษัทที่ออกหุ้นกู้ ผ่านสถาบันการเงินที่เป็นตัวแทนจำหน่าย

  • ตลาดรอง (Secondary Market): ซื้อขายหุ้นกู้ที่มีการออกไปแล้ว ผ่านตลาดหลักทรัพย์หรือโบรกเกอร์

  • สถาบันการเงินและธนาคารพาณิชย์: บางแห่งมีบริการให้ลูกค้าสั่งซื้อหุ้นกู้โดยตรง

  • กองทุนรวมตราสารหนี้: สำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยง สามารถลงทุนผ่านกองทุนรวมที่มีการบริหารพอร์ตหุ้นกู้

ทั้งนี้ หุ้นกู้เป็นทางเลือกการลงทุนที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการผลตอบแทนที่แน่นอนและมีความเสี่ยงต่ำกว่าหุ้นสามัญ อย่างไรก็ตามนักลงทุนควรศึกษาข้อมูลบริษัทผู้ออกหุ้นกู้และประเมินความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอ